ค.ศ. 1700 ของ มหาสงครามเหนือ

การปิดล้อมแห่งทิวนิ่ง

ผังป้อมทิวนิ่ง

ปี ค.ศ. 1700 เดนมาร์ก-นอร์เวย์ โปแลนด์-ลิทัวเนีย-แซกโซนี และรัสเซียเปิดฉากสงครามด้วยการกรีฑาทัพเข้าล้อมป้อมทิวนิ่ง โดยทั้งสามกองกำลังเข้าตีป้อมทางหน้าทั้งสามด้าน ส่วนกองทัพเดนมาร์ก-นอร์เวย์เข้าโจมตีฮ็อลชไตน์-ก็อธธอร์ป[8]และทัพราชวงศ์ของจักรวรรดิสวีเดน[9] และนำไปสู่การวางทัพล้อมป้อมทิวนิ่งในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ. 1700[8] จนกระทั่งถูกทัพเรือสวีเดนเข้าตลบหลังกะทันหันด้วยการเปลี่ยนรูปแบบทัพไปโจมตีด้านหน้าจากกรุงโคเปนเฮเกน ทำให้พระเจ้าเฟรเดอริคที่ 4 ต้องถูกถอนกำลังออกจากสงครามด้วยสนธิสัญญาสันติภาพทราเวนดอล (อังกฤษ: Treaty of Travendal ; สวีเดน: Travendahlischer Friede)ในวันที่ 18 สิงหาคม ค.ศ. 1700[10] โดยมีเนื้อหาดังนี้

  • เดนมาร์กจะต้องยอมรับในเอกราชของฮ็อลชไตน์-ก็อธธอร์ป
  • สนธิสัญญาสันติภาพระหว่างฮ็อลชไตน์-ก็อธธอร์ปกับเดนมาร์กต้องทำให้ดินแดนทับซ้อนรวมถึงฮ็อลชไตน์เองเป็นอิสระจากเดนมาร์ก
  • เดนมาร์กจะต้องจ่ายค่าปฏิกรรมสงครามเป็นจำนวนเงิน 260,000 ริกสดาลเลอร์ให้แก่ฮ็อลชไตน์-ก็อธธอร์ป
  • เดนมาร์กต้องให้คำสัตย์สาบานว่าจะไม่ตั้งตนเป็นศัตรูของจักรวรรดิสวีเดนและฮ็อลชไตน์-ก็อธธอร์ป
  • เดนมาร์กมีสิทธิตั้งกองกำลังป้องกันตนเองได้ แต่กำลังทหารต้องไม่เกิน 6,000 นาย
  • เดนมาร์กต้องถอนกำลังออกจากกลิยุคสแตตต์ให้หมดสิ้น
  • สังฆมณฑลลิวเบกจะต้องสถาปนาและยอมรับราชวงศ์โฮลสไตน์-ก็อธธอร์ปอย่างแท้จริง
  • เดนมาร์กจะต้องส่งกำลังเสริมไปช่วยสวีเดนในยุทธการนาร์วา

ด้วยเหตุนี้กองทัพเดนมาร์กจึงต้องถอนตัวออกจากสงครามไปถึง 8 ปี จนกระทั่งปี ค.ศ. 1709 การพ่ายแพ้ของจักรวรรดิสวีเดนในยุทธการโปลตาวามาเยือน[11] ทำให้สัญญาเสื่อมสภาพลง เดนมาร์ก-นอร์เวย์จึงกรีฑาทัพเข้าร่วมสงครามในนามฝ่ายพันธมิตรอีกครั้ง

พระเจ้าคาร์ลที่ 12 กรีฑาทัพขึ้นเทียบฝั่งฮัมเลเบก

การเทียบท่าแห่งฮัมเลเบก

การเทียบท่าแห่งฮัมเลเบก (อังกฤษ: Landing on Humlebæk) เกิดจากการนำทัพราชนาวีสวีเดนเข้าเทียบฝั่งเดนมาร์กโดยพระเจ้าคาร์ลที่ 12 ในวันที่ 24 กรกฎาคม ค.ศ. 1700 ถือเป็นการโต้กลับครั้งแรกของฝ่ายสวีเดน ในเวลานั้นแม้จะมีเพียงสวีเดนแค่ฝ่ายเดียว แต่ยุทธการการบุกเข้าโจมตีโดยกะทันหันก็ทำให้เดนมาร์กคาดไม่ถึงเช่นกัน นี่จึงเป็นสาเหตุที่ทำให้เดนมาร์กพ่ายแพ้สวีเดนในยุทธการทิวนิ่งไปในที่สุด

ก่อนหน้าที่พระเจ้าคาร์ลที่ 12จะกรีฑาทัพเข้าบุกตำบลฮัมเลเบกของเดนมาร์ก พระองค์ได้ตระเตรียมการไว้ก่อน โดยรวบรวมกำลังพลแนวหน้าไว้ถึง 16,000 นายที่ดินแดนสแกเนีย และกองหลังอีก 10,000 นายที่พรมแดนของนอร์เวย์ แล้วเคลื่อนทัพจากเมืองคาร์ลสโครนามายังช่องแคบโอเรซุนด์ด้วยกองเรือรบ 38 ลำ ระหว่างนั้นกองทัพสวีเดนยังพบกับอุปสรรคสำคัญ นั่นคือกองเรือเดนมาร์ก 40 ลำที่แล่นขวางเอาไว้ แต่ที่สุดแล้วก็ได้รับการช่วยเหลือจากกองเรือบริติช-ดัตช์ ทำให้กองเรือสวีเดนสามารถเคลื่อนทัพต่อไปได้จนถึงตำบลฮัมเลเบกในที่สุด

การเทียบท่าเข้าบุกยังชายฝั่งฮัมเลเบกนับเป็นการตัดสินพระทัยของพระเจ้าคาร์ลที่ 12ที่นำพาชัยชนะมาให้สวีเดนได้ไม่น้อย หากเพราะเดนมาร์กไม่ทันได้ตั้งตัวอะไรเลย จึงเป็นเวลาที่เหมาะแก่การบุกเข้าโจมตีอย่างยิ่ง และถึงฝั่งเดนมาร์กจะมีกำลังพลมากถึง 5,000 คนอยู่แล้วก็ตาม แต่ก็มีเพียงแค่ทหาร 350 นายและชาวนา 350 คนที่วางกำลังป้องกันชายฝั่งเท่านั้น ขณะที่ทางสวีเดนได้แบ่งทัพไว้สองกอง โดยให้ทหารจำนวน 2,500 นายจาก 4,700 นายเข้าบุกเป็นแนวหน้า ถึงแม้เดนมาร์กจะส่งกองกำลังทหารม้าเข้าปิดล้อมไว้ แต่ก็ยังเสียเปรียบสวีเดนที่อยู่ในน้ำอยู่ดี สงครามครั้งนี้ยังได้แสดงให้เห็นถึงความกล้าหาญของพระเจ้าคาร์ลที่ 12 ที่ทรงร่วมรบกับทัพหน้าของพระองค์อย่างไม่หวั่นเกรงทั้งบนบกและในน้ำอีกด้วย

ท้ายที่สุด ด้วยกำลังเสริมของสวีเดนที่บุกประชิดเข้ามาทางกรุงโคเปนเฮเกนเรื่อยๆ จนมีกำลังทหารทั้งหมด 10,000 นาย ประกอบกับทัพของเดนมาร์กที่เอาแต่ถอยหลังกลับเมืองหลวง ทำให้เดนมาร์กต้องยอมลงนามในสนธิสัญญาสงบศึกทราเวนดอลตามที่กล่าวมาอย่างไม่มีทางเลือกในที่สุด

ชัยชนะแห่งกองทัพสวีเดน

ยุทธการนาร์วา

หลังจากเดนมาร์กพ่ายแพ้ต่อสวีเดนในการเทียบท่าแห่งฮัมเลเบก สวีเดนที่กำลังฮึกเหิมก็ได้เบนความสนใจไปที่จักรวรรดิรัสเซียอันได้ชื่อว่าเป็นภัยคุกคามต่อตนเองทันที นั่นทำให้พระเจ้าคาร์ลที่ 12ยาตราทัพภาคสนามเข้าบุกรัสเซียในวันที่ 30 กันยายน ค.ศ. 1700[12]เมืองนาร์วา โดยมีจุดประสงค์ที่จะดันกองทัพรัสเซียกลับไปยังเขตแดนรัสเซียให้ได้ตามประสงค์

พระเจ้าคาร์ลที่ 12 พร้อมด้วยคาร์ล กุสตาฟ เรห์นสเคียลด์ และออตโต เวลลิงก์ สองแม่ทัพใหญ่จัดกำลังทหารโดยให้ 8,000 นายเข้าปะทะในยุทธการนาร์วา แล้วอีก 2,500 นายรักษาดินแดนอยู่ที่ตัวเมืองสวีเดน ในขณะที่ฝั่งจักรวรรดิรัสเซียมีกองกำลังทหารถึง 30,000-35,000 นาย[13] นำโดยพระเจ้าปีเตอร์มหาราชและแม่ทัพอีกหกนาย ทั้งสองเข้าปะทะกันในวันพายุหิมะรุนแรง และทางลมยังจะดูเป็นใจให้สวีเดนอีกด้วย กระนั้นแล้วพระเจ้าคาร์ลที่ 12 ก็ยังทรงเล็งเห็นถึงประสิทธิภาพของชาวรัสเซียแม้จะมองไม่เห็นในสภาพอากาศแบบนี้ จึงสั่งการให้แบ่งทัพออกเป็นสองปีก เข้าล้อมทัพรัสเซีย แล้วใช้ทัพหลักที่สามเข้าปะทะจนต้อนให้ทัพรัสเซียเข้าไปอยู่ที่สะพานข้ามแม่น้ำนาโรวาได้สำเร็จ ด้วยกลยุทธ์ของพระเจ้าคาร์ลที่ 12 ทำให้ครั้งนั้นสะพานข้ามแม่น้ำนาโรวาถล่มลงมา ส่งผลให้ทหารรัสเซียตกลงไปตายถึง 6,000-18,000 คน[14][15]เลยทีเดียว

ไม่เพียงแค่นั้น ทางด้านทหารรัสเซียที่ยอมจำนนให้กับทัพสวีเดนยังได้แอบลำเลียงอาวุธสำคัญไปมอบให้กับทัพสวีเดนอีกด้วย พระเจ้าปีเตอร์มหาราชรู้แก่พระทัยดีว่าถ้าหากยังดันทุรังสู้ต่อจะเป็นเช่นไรจึงถอยทัพกลับ[16] ชัยชนะครั้งนี้พระเจ้าคาร์ลที่ 12 ทรงมั่นพระทัยเป็นอย่างมากว่าหลังจากนี้รัสเซียจะไม่สามารถกลับมารุกรานสวีเดนได้อีกและประเมินรัสเซียต่ำลงไปมากจนถึงยุทธการโปลตาวา ในขณะที่พระเจ้าปีเตอร์ที่ 1 กลับเก็บความพ่ายแพ้นี้รวมถึงในวันข้างหน้าไว้เป็นบทเรียนสำคัญและเก็บกลยุทธ์ทุกอย่างที่สวีเดนมีไปพัฒนากองทัพรัสเซียให้เต็มประสิทธิภาพ

ใกล้เคียง

มหาสงครามจอกศักดิ์สิทธิ์ มหาสงครามเหนือ มหาสงครามชิงพิภพ มหาสงครามพิภพวานร มหาสงครามกู้แผ่นดิน มหาสงครามหุบเขาแห่งสายลม มหาสงครามวินาศสตาลินกราด มหาสงครามซู ค.ศ. 1876 มหาสงครามกู้แผ่นดิน 2 มหาสงครามลูกแก้วมากะ